การเพาะพันธุ์ปลาน้ำจืด |
|
|
การเพาะเลี้ยงพันธุ์ปลาบึก
|
พันธุ์ปลาบึก
พันธุ์ปลาบึก เป็นพันธุ์ปลาที่อยู่ 1 ใน 9 ชนิด ได้แก่
ปลาตะเพียนขาว ปลาตะเพียนทอง ปลากระแห ปลาสร้อยขาว ปลาแก้มช้ำ
ปลาม้า ปลายี่สกไทย และกุ้งก้ามกราม ที่กรมประมงร่วมกับโรงพยาบาลศิริราชจัดโครงการปล่อยพันธุ์สัตว์น้ำเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
เนื่องในโอกาสเฉลิมพระชนมพรรษา 84 พรรษา พันธุ์ปลาทั้ง
9 ชนิดนี้เป็นชนิดปลาน้ำจืดที่สามารถเจริญเติบโตได้ดีในแม่น้ำเจ้าพระยาและเป็นพันธุ์ปลาท้องถิ่นประจำแม่น้ำเจ้าพระยาอีกด้วย
ปลาบึกเป็นปลาไม่มีเกล็ดที่มีขนาดใหญ่ที่สุด
ขนาดโตเต็มที่ยาวประมาณ 3 เมตร มีน้ำหนักมากกว่า 250 กิโลกรัม
พบเฉพาะในแม่น้ำโขง และแม่น้ำสาขาเท่านั้น ปลาบึกถูกจัดเป็นปลาชนิดที่มีจำนวนน้อยใกล้สูญพันธุ์
[Endangered species] ชื่อซึ่งเป็นที่รู้จักทั่วไป คือ
Mekong giant catfish มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า
Pangasianodon gigas เป็นปลาที่กินพืชเป็นอาหาร ไม่มีฟันทั้งที่ขากรรไกรและเพดานปาก
สำหรับแหล่งจับปลาบึกที่สำคัญของจังหวัดเชียงราย อยู่ที่บ้านหาดไคร้
ตำบลเวียง อำเภอเชียงของ ฤดูจับปลาบึกของชาวประมง จะเริ่มต้นประมาณปลายเดือนเมษายนของทุกปี
จนถึงต้นเดือนมิถุนายน โดยใช้เครื่องมือมองไหล ด้วยเป้าหมายที่ต้องการจะอนุรักษ์พันธุ์ปลาบึก
และเพื่อเพิ่มปริมาณปลาบึกในแหล่งน้ำธรรมชาติ กรมประมงจึงได้พยายามดำเนินการเพาะขยายพันธุ์
จนประสบผลสำเร็จครั้งแรกในปี พ.ศ. 2526 ซึ่งจากความสำเร็จดังกล่าวทำให้การศึกษาทางอนุกรมวิธานของปลาบึกสมบูรณ์ยิ่งขึ้น
และทำให้ทราบว่าลูกปลาบึกมีลักษณะหลาย ๆ ประการที่แตกต่างไปจากปลาที่โตเต็มวัย
เช่นมีฟันบนขากรรไกร และเพดานปาก และจะหลุดร่วงไปหมดเมื่อโตเต็มวัย
ได้มีการนำพันธุ์ปลาบึกปล่อยลงสู่แหล่งน้ำธรรมชาติต่าง
ๆ เป็นประจำอย่างต่อเนื่อง จากการสำรวจและติดตาม ทำให้ทราบว่าปลาบึกสามารถเจริญเติบโตในแหล่งน้ำธรรมชาติได้ปีละประมาณ
10 – 12 กิโลกรัม
|
ลักษณะทั่วไปของปลาบึก
ปลาบึกเป็นปลาขนาดใหญ่ มีรูปร่างเพรียวขาวแบนข้างเล็กน้อย
ลูกปลาบึกขนาดเล็กมีสีคล้ำเหลือบเหลือง ข้างลำตัวมีแถบสีคล้ำตามยาว
1 – 2 แถบ ครีบหางตอนบนและล่างมีแถบสีคล้ำตามยาว ในปลาขนาดใหญ่ด้านหลังของลำตัวจะมีสีเทาอมน้ำตาลแดง
ด้านข้างเป็นสีเทาปนน้ำเงินและจางกว่าด้านหลัง เมื่อค่อนลงมาทางท้องสีจะจางลงเรื่อย
ๆ จนเป็นสีขาวเงิน ตามลำตัวมีจุดสีดำค่อนข้างกลมกระจ่ายอยู่ห่าง
ๆ กันเกือบทั่วตัว
บริเวณจงอยปากมีรูจมูก 2 คู่ ตั้งอยู่บนริมผีปากทางด้านข้างจงอยปาก
คู่หน้าอยู่ชิดกันมากกว่าคู่หลัง นัยตาของปลาบึกมีขนาดเล็กอยู่เป็นอิสระไม่ติดกับขอบตามีเส้นผ่านศูนย์กลาง
1 ใน 20 เท่า ของความยาวหัว ตำแหน่งของนัยตาอยู่ต่ำกว่าระดับมุมปาก
ลูกตามีหนังบาง ๆ คลุมด้านขอบเล็กน้อยเปิดเป็นช่องรูปกลมที่กึ่งกลางกะโหลกมีจุดสีขาวขนาดเดียวกับตา
1 จุด
ครีบหลังของปลาบึก มีสีเทาปนดำ จุดเริ่มต้นของครีบหลังอยู่ล้ำหน้าจุดเริ่มต้นของครีบท้อง
แต่ไม่ถึงกึ่งกลางของลำตัว ก้านครีบแข็งเป็นเงี่ยงแต่สั้นและทู่ลงเมื่อมีขนาดใหญ่ขึ้น
ครีบอก มีสีเทาปนดำอยู่ค่อนข้างต่ำ ประกอบด้วยก้านครีบแข็งใหญ่
1 อัน ซึ่งปลายโค้งงอได้ไม่แข็งเป็นเงี่ยง หรือหยักเป็นฟันเลื่อย
ก้านครีบอ่อนมีจำนวน 10 อัน ความยาวครีบอกมีขนาดเท่าหรือเกือบเท่ากับความยาวครีบหลัง
คือมีความยาวครึ่งหนึ่งของหัว
ครีบท้อง มีสีเทาอ่อน มีก้านครีบโค้งงอได้ 1 อัน มีก้านครีบอ่อนจำนวน
7 อัน
ครีบก้น มีสีเทาอ่อน มีก้านครีบแข็งที่โค้งงอได้ 5 อัน
ก้านครีบอ่อน 29 – 32 อัน
ครีบไขมัน มีสีเทาปนดำ มีขนาดเล็กอยู่ค่อนไปทางครีบหาง
ครีบหาง มีสีเทาปนดำ ขนาดอ่อนข้างสั้นเว้าลึก ส่วนของแพนหางบนและล่างมีขนาดเท่ากัน
|
ถิ่นที่อยู่อาศัย
ปลาบึกชอบอาศัยอยู่ในบริเวณที่มีระดับน้ำลึกกว่าสิบเมตร
พื้นท้องน้ำเต็มไปด้วยก้อนหินและโขดหินสลับซับซ้อนกัน ยิ่งมีถ้ำใต้น้ำด้วยแล้วปลาบึกจะชอบมากที่สุด
ปลาบึกขนาดใหญ่อาศัยอยู่ในระดับน้ำที่ลึกอาศัยถ้ำใต้น้ำเป็นที่หลบซ่อนตัว
นอกจากนี้ยังได้ตะไคร่น้ำที่ขึ้นตามโขดหินกินเป็นอาหาร
ปลาบึกมีเฉพาะในแม่น้ำโขงเพียงแห่งเดียวเท่านั้น แม้ว่าบางครั้งอาจจับปลาบึกได้จากแม่น้ำสายใหญ่
ๆ ที่เป็นสาขาของแม่น้ำโขง เช่น แม่น้ำสงคราม จังหวัดนครพนม
แม่น้ำมูล จังหวัดอุบลราชธานี แม่น้ำงึมแขวงนครเวียงจันทร์
ประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ปลาที่จับได้เชื่อแน่ว่าเป็นปลาที่เข้าไปหากินในลำน้ำเป็นการชั่วคราว
ปลาบึกอาศัยในแม่น้ำโขงนับตั้งแต่ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีนลงมาจนถึงเมียนม่าร์
สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ไทย สารธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนกัมพูชา
และสาธารณรัฐเวียดนามตอนใต้ แต่ไม่เอยปรากฏว่าพบในบริเวณน้ำกร่อยหรือบริเวณปากแม่น้ำโขงที่ไหลออกสู่ทะเลจีนใต้
ประเทศไทยพบว่าปลาบึกอาศัยอยู่ในแม่น้ำโขงตอนที่กั้นพรมแดนไทยโดยตลอด
คือนับตั้งแต่อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย ลงไปจนถึงอำเภอโขงเจียม
จังหวัดอุบลราชธานี แหล่งที่พบปลาบึกอาศัยอยู่ชุกชุมมากที่สุดอยู่ในเขตท้องที่จังหวัดหนองคาย
โดยเฉพาะวังปลาบึกหรืออ่างปลาบึกบ้านผาตั้ง อำเภอศรีเชียงใหม่
ซึ่งเป็นถิ่นที่อยู่ของปลาบึกมาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ในสมัยเมื่อ
40 ปีก่อน เฉพาะวังปลาบึกเคยจับปลาบึกได้ไม่ต่ำกว่าปีละ
40 – 50 ตัว ส่วนปลาบึกที่จับได้ที่จังหวัดเชียงราย ชาวประมงเชื่อว่าเป็นปลาที่อพยพย้ายถิ่นมาจากวังปลาบึกที่หลวงพระบาง
|
การเพาะพันธุ์ปลาบึก
ขั้นตอนการดำเนินการเพาะพันธุ์ปลาบึกจากพ่อแม่พันธุ์ที่จับได้จากแม่น้ำโขง
1. การดูแลพ่อแม่ปลาบึกหลังจากที่จับได้ ใช้เชือกในลอนร้อยเข้าทางปากออกทางเหงือกผูกติดกับลำไม้ไผ่เพื่อพยุงตัวปลาป้องกันตัวปลาไม่ให้จมลงและป้องกันไม่ให้ปลาดิ้นมาก
สามารถจะรักษาให้พ่อ – แม่ปลามีชีวิตอยู่ได้นาน 5 – 7
วัน
2. การฉีดฮอร์โมนเพื่อการผสมเทียม
การฉีดฮอร์โมนผสมเทียมปลาบึกในระยะแรก ๆ ใช้ต่อมใต้สมองของปลาไนและปลาสวาย
ซึ่งใช้ต่อมจำนวนมากต่อมาปี 2535 จึงได้เปลี่ยนเป็นฮอร์โมนสังเคราะห์
LHPHa ชนิดต่าง ๆ ผสมกับ Domperidone
ลักษณะไข่ปลาบึกเป็นไข่ติด ซึ่งผสมพันธุ์ครั้งนี้ได้ทำ
2 วิธี
วิธีที่ 1 หลังจากที่ไข่ได้รับการผสมน้ำเชื้อแล้ว ใช้เชือกฟางผูกเป็นพวกฉีกเป็นฝอยแล้วจุ่มในไข่เพื่อให้ไข่ติดแล้วนำไปพัก
วิธีที่ 2 หลังจากที่ไข่ได้รับการผสมพันธุ์จากน้ำเชื้อแล้ว
ใช้น้ำขุ่นตะกอนริมแม่น้ำโขงล้างไข่ที่ได้รับการผสมแล้วเพื่อไม่ให้ไข่ติดกัน
3. การลำเลียงไข่ปลาบึก ลำเลียงโดยทางรถยนต์ โดยจะบรรจุไข่ในถุงพลาสติกภายในถุงบรรจุน้ำประมาณ
5 ลิตร วางถุงพลาสติกบรรจุไข่บนรถกะบะพื้นรถปูด้วยผืนอวนเก่าหรือผักตบชวาและสาดน้ำจนชุ่ม
4. การเพาะฟักไข่ปลาบึก
การเพาะฟักไข่ปลาบึกแบ่งออกเป็น 3 วิธี คือ
- การฟักไข่ในกระชังผ้า ไข่ปลาบึกที่ผสมแล้วจะถูกโรยบนเชือกฟางที่คัดเป็นฟอง
ซึ่งลอยในกระชังผ้าขนาด 1x2x0.75 เมตร ที่แขวนลอยอยู่ในน้ำ
ไข่ฟักเป็นตัวในระหว่าง 28 – 36 ชั่วโมง
. - การเพาะฟักไข่ในกระเช้าผ้าตาถี่ ไข่ปลาบึกจะถูกน้ำมาใส่ในกระเช้าผ้าตาถี่ซึ่งแขวนให้จมน้ำลึกประมาณ
40 ซม. ในบ่อซีเมนต์ ขนาด 2x3 เมตร ซึ่งมีระดับน้ำลึกประมาณ
70 ซม. ตอนปลายของกระเช้ามีสายยาวต่อกับก๊อกน้ำเมื่อปล่อยน้ำออกจากก๊อกจะทำให้มีการไหลของน้ำภายในกระเช้าผ้า
ทำให้ไข่ลอยหมุนอยู่ภายใน ไข่จะฟักเป็นตัวภายใน 23-33
ชั่วโมง หลังจากไข่ผสมน้ำเชื้อ
- การเพาะฟักไข่ในบ่อซีเมนต์ นำไข่ที่ผสมน้ำเชื้อแล้วเทใส่บ่อซีเมนต์ขนาด
5 x 10 เมตร มีระดับน้ำลึกประมาณ 40 ซม. เหนือบ่อมีหลังคาคลุมอยู่ประมาณครึ่งบ่อ
ภายในบ่อต่อท่อแป๊บน้ำขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 1.5 นิ้ว ปลายอุดและเจาะรูแป๊บน้ำถึงก้นเป็นระยะห่างกันประมาณ
20 ซม. ความยาวของท่อประมาณ 6 เมตร วางท่อตรงกลางบ่อ ปลายท่อต่อสายยางกับปั้มลม
แล้วปล่อยลมไหลผ่านท่อยางเข้าสู่แป๊บน้ำตลอดเวลา ไข่ฟักเป็นตัวในระยะเวลา
26 – 33 ชั่วโมง
|
การอนุบาลลูกพันธุ์ปลาบึก
|
การอนุบาลลูกพันธุ์ปลาบึกวัยอ่อน
(Fry Nursing)
การอนุบาลแบ่งออก 2 ระยะคือ ระยะแรกอนุบาลตั้งแต่ลูกปลาฟักออกเป็นตัว
ถึงอายุประมาณ 5-6 วัน ระยะที่สองตังแต่ลูกปลาอายุ 5-6
วัน จนถึงอายุ 17–18 วัน ระยะแรก อนุบาลลูกปลาบึกหลังฟักเป็นตัวจนถึงอายุ
5-6 วัน ในบ่อซีเมนต์ขนาด 6 ตารางเมตร ใช้อัตราปล่อย 4,167
ตัวต่อลูกบาศเมตร ให้ไรแดงมีชีวิตเป็นอาหารในอัตราไรแดง
60 กรัมต่อลูกปลา 5,000 ตัวต่อครั้งและแบ่งเวลาในการให้อาหารเป็น
2 ช่วง คือ ระยะ 3 วัน แรกให้อาหาร 8 ครั้ง หลังจากนั้นให้อาหาร
6 ครั้ง ระยะเวลาในการอนุบาลลูกปลาในบ่อซีเมนต์ มีผลต่ออันตราการรอดตายของลูกปลา
กล่าวคือระยะเวลาที่เหมาสมที่ใช้ในการอนุบาลลูกปลาบึกวัยอ่อนในบ่อซีเมนต์ควรอยู่ระหว่าง
5-6 วัน พอเริ่มเข้าวันที่ 7 ของอนุบาลลูกปลาเริ่มทยอยตายและหากอนุบาลนานเกินไป
จะส่งผลให้อันตราการรอดต่ำ ดังนั้นควรย้ายลูกปลาไปอนุบาลต่อในบ่อดิน
ระยะที่สอง อนุบาลลูกปลาบึก อายุ 5 –6
วัน ถึงอายุ 17-18 วัน ในบ่อดิน บ่อดินที่เหมาะสมในการอนุบาลลูกปลาบึกคือ
800 ตารางเมตร โดยปล่อยลูกปลา 18 ตัวต่อตารางเมตร ระดับน้ำลึก
60 – 70 เซนติเมตร การให้อาหารวันแรกให้ไรแดงมีชีวิต 2
กิโลกรัมต่อบ่อ วันต่อมาให้ปลาเป็ดบดละเอียดสาดทั้งบ่อ
ครั้งละครึ่งกิโลกรัม ทุก ๆ 6 ชั่วโมง พร้อมทั้งให้ไรแดงเสริมอีกบ่อละ
1 กิโลกรัม หลังจาก 3 วันแล้วเปลี่ยนจากปลาเป็ดเป็นอาหารผสมมีระดับโปรตีน
27 เปอร์เซ็นต์ วันละครั้ง ๆ ละครึ่งกิโลกรัมเสริมด้วยไรแดงครั้งละ
1 กิโลกรัมทุก 3 วัน
อายุของลูกปลาที่จะนำไปอนุบาลในบ่อดินเป็นสิ่งที่ควรคำนึงเป็นอย่างมาก
จากการทดลองนำลูกปลาวัยอ่อนที่ถุงไข่แดงยังยุบไม่หมดไปอนุบาลในบ่อดิน
จะมีอัตราการรอกตายต่ำมากหรือตายทั้งหมดหากใช้ลูกปลาอายุ
5 – 6 วัน ซึ่งแข็งแรงพอที่จะปรับตัวในสภาพแวดล้อมใหม่ได้แล้วไปอนุบาลต่อในบ่อดินขนาดเล็ก
จะมีอัตราการรอดตายที่ค่อนข้างสูง
|
พันธุ์ปลาบึกที่พร้อมปล่อยสู่แหล่งน้ำธรรมชาติขนาดต่างๆ
พันธุ์ปลาบึก ขนาดประมาณ 3 นิ้ว หรือประมาณ 7.6 เซนติเมตร
พันธุ์ปลาบึกขนาดประมาณ
5-6 นิ้ว, 7-8 นิ้ว
|
|
ที่มาข้อมูล งานเอกสารคำแนะนำ กองส่งเสริมการประมง
กรมประมง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
ภาพโดย bestfish4u.com
|